บันทึกการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นของผมครั้งนี้เริ่มต้น ณ วันที่ผมได้รับการอนุมัติวีซ่า เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเที่ยวคนเดียว ขีดเส้นใต้อีกครั้งคําว่า "คนเดียว" ถ้าอย่างไงมีใครเผลอมาอ่านก็เชิญร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนผมแล้วกัน ประมาณว่า "หนุกจังตังค์อยู่ครบ"
สงสัยใช่ไหมครับว่าทําไมบันทึกการเดินทางของผมถึงได้เริ่มต้น ณ วันที่ผมได้รับวีซ่า จริงๆ แล้วตัวผมเองก็ไม่มั่นใจหรอกครับว่าการยื่นขอวีซ่าของผมจะได้รับการอนุมัติหรือป่าว เท่าที่ผมได้ยินมา อ่านมาตามเว็ปไซต์ต่างๆ ญี่ปุ่นก็มักจะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ขอวีซ่ายากประเทศหนึ่ง ผมเองก็เป็นพนักงานบริษัทธรรมดา รายได้ก็น้อยเท่าหอยมด แต่ในความหดหู่มันก็ยังมีหวังอยู่เล็กๆ อย่างน้อยบริษัทที่ผมทํางานก็เป็นบริษัทญี่ปุ่นเล็กๆ บริษัทนึงพนักงานแค่ 4 พันกว่าคนเอง อีกอย่างการท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ด้วยคุณสมบัติดังว่าผมก็น่าจะมีลุ้น เอาว่ะ สู้วุ้ย!
ผมไม่บอกนะว่าทําวีซ่าญี่ปุ่นต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง (โตแล้วหากันเอง) ความเข้าใจของหลายๆ คนก็เข้าใจว่าการขอวีซ่าต้องไปขอ ณ สถานฑูตของประเทศนั้นๆ ผมก็เชื่อแบบนั้น วันที่ 29 กันยายน ผมก็ลางานครึ่งวันเช้า ขับรถไปจอดที่อาคารจอดรถ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินลาดพร้าว แล้วมุ่งตรงไปที่สถานีลุมพินี ท่องได้อย่างแม่นยําว่าทางออกหมายเลข 3 เดินดุ่มๆ ไปจนถึงสถานฑูตญี่ปุ่น คนน้อยดีจังวันนี้ พี่ รปภ. ก็ถามผมว่ามาทําอะไร แหมพี่ครับเค้ามากินไอติมที่สถานฑูตกันเหรอครับ ผมก็บอกไปว่ามาทําวีซ่าไปเที่ยวญี่ปุ่น พี่แกก็บอกว่ารอแป๊บนะ ผมก็นึกว่าจะมีอะไร ที่แท้พี่แกจะไปเปิดประตูให้รถที่เข้าไปติดต่อที่สถานฑูต พอแกเสร็จภารกิจแล้วก็เขิามาบอกกับผมว่า ตอนนี้การทําวีซ่าท่องเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปทําที่ศูนย์รับยื่นวีซ่าประเทศญี่ปุน JVAC (Japan Visa Application Center ) ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15 ผมเองก็ได้แต่เอ๋อแดรก ก็เมื่อคืนยังอ่านอยู่ในเว็ปสถานฑูตเลยว่าสามารถยื่นที่สถานฑูตได้ ผมก็เลยจะโทรศัพท์ไปสอบถามกับสถานฑูต พระเจ้าช่วย! ผมลืมมือถือไว้ในรถ แล้วทําไงดี ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเดินกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าไปสถานีสีลม ระหว่างการเดินทางผมคิดตลอกเวลาว่าทําไมจะต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วย ไม่ทันที่อคติภายในใจจะก่อตัวเท่าตึกปิโตรนัส ผมก็มาถึงหน้าอาคารสีลมคอมเพล็กซ์
ในใบคําแนะนําที่พี่ รปภ. ให้มาบอกว่าให้ใช้ลิฟท์ของสํานักงาน เดินเข้าไปอย่างมั่นใจ ชั้น 15 ครับ ขอบคุณมากครับ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงขอบคุณของผมเลย ก็มีเสียงดังขึ้นว่า “น้องชั้น 15 ต้องขึ้นโลโซนนะคะ” ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าลิฟท์ในเมืองหลวงเค้ามีไฮโล จะรู้ไหมล่ะปกติลิฟท์บ้านผมมันก็จอดทุกชั้นอ่ะ ก็เลยปล่อยไก่ตัวใหญ่ๆ ไปตัวนึง ไม่นะ หน้าไม่แหก แค่ไม่รู้ คุณครูสอนไว้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ได้แดรกกรูแค่ครั้งเดียวล่ะเมิง นี่ขนาดยังไม่ได้ยื่นขอวีซ่าเลยนะ กรุงเทพฯ ยังรับน้องใหม่ผมขนาดนี้เลย สงสัยตอนออกจากบ้านก้าวเท้าผิดแน่ๆ
มาถึงชั้น 15 ออกจากลิฟท์มาก็มองซ้าย แลขวาแบบว่าไม่ให้หน้าแตกอีก ก็เจอ JVAC เด่นเป็นสง่าอยู่ คนตรึม นี่ชาวบ้านเค้ารู้ว่าต้องมายื่นที่นี่กันหมดเลยเหรอ กรูไปอยู่รูไหน มาเนี่ย ผมว่าหลายๆ คนที่อ่านเรื่องของผมก็คงไม่รู้เหมือนกันใช่ป่าว ยอมรับมาเถอะ ถือว่าช่วยกันทํามาหากิน
JVAC กว้างขวางเป็นระเบียบมาก มีแบบฟอร์มเปล่าพร้อมตัวอย่างแถมมีกาวไว้ให้สําหรับคนที่ไม่ได้เตรียมมา อย่างที่รู้กันครับว่าใบคําร้องขอวีซ่าญี่ปุ่นต้องใช้กาวติดรูปถ่าย 2 นิ้ว 1 รูป ลืมบอกไปว่ารูปถ่าย 2 นิ้วนี่ รูปขนาด 2 นิ้วนะครับ ไม่ใช่โชว์ 2 นิ้วแล้วถ่ายรูป (ฝืดไปไหมอ่ะมุกนี้) เจ้าหน้าที่ก็จะถามว่ามาทําอะไร อันนี้เค้าไม่ได้กวนตรีนนะ แต่คนที่มาก็หลายวัตถุประสงค์ มาทําวีซ่าเองก็หลายประเภท บางคนมารับเล่มคืนก็มี ผมก็ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่ามาขอวีซ่าท่องเที่ยวครับ เจ้าหน้าที่ถามผมว่ากี่คน ในใจผมก็คิดว่า “ถามเพื่อ?” แค่กรูคิดว่าต้องไปคนเดียวก็แย่พออยู่แล้ว ก็เลยตอบแบบเบาๆ ว่า คนเดียว ตามที่ขีดเส้นใต้ไว้ข้างบน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เบอร์มา แล้วก็ไปนั่งรอ ระหว่างนั่งรอก็หลากหลายบรรยากาศครับ น้องสาวกลุ่มข้างๆ 3-4 คน กําลังรอลุ้นผลอนุมัติวีซ่า พอเจ้าหน้าที่เรียกคุณเธอไปรับ พอรู้ว่าวีซ่าผ่าน She ก็ร้องกันดังลั่นราวกับว่าเธอได้ตําแหน่ง Miss Universe แต่ผมก็ดีใจกับเค้านะ มาดูตัวเอง แล้วกรูจะได้ร้องอย่างน้องเค้าไหมเนี่ย ไม่นานเกินรอเลขลําดับของผมก็ขึ้นให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ไปถึงหน้าเคาน์เตอร์เล่นทําเอาผมอึ้ง เจ้าหน้าที่ลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ กล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร จากที่ผมยินมาเวลาหลายคนไปขอวีซ่าก็มักจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยดี ใจจริงผมก็เตรียมใจมาแล้ว แต่พอมาเจอแบบนี้ก็อึ้งกิมกี่เหมือนกันนะ ถ้าใครที่เจ็บชํ้าน้ำใจจากเจ้าหน้าที่ของสถานฑูต อื่นๆ ก็ลองไปเที่ยวญี่ปุ่นนะครับ อย่างน้อยด้วยอัธยาศัยที่ดีของเจ้าหน้าที่ก็ทําให้ผมไม่รู้สึกกังวลมากนัก เอกสารทั้งหมดที่ผมเตรียมมายื่นไปหมด ทั้งสําเนาบัตรประชาชน สําเนาบัตรพนักงาน สลิปเงินเดือน แบบว่าเอาให้มั่นใจว่าผมไปเที่ยวแล้วกลับมบทํางานจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็สอบถามว่า ไปคนเดียวเหรอค่ะ อีกครั้งที่แผลเป็นผมถูกสะกิด ผมก็ตอบเบาๆ ไปว่า ครับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทําการตรวจเอกสารผม เจ้าหน้าที่อธิบายผมว่าเนื่องจากเป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกดังนั้นทางสถานฑูตจะขอดูหนังสือเดินทางเล่มเก่าทั้งหมดของผมด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็คืนเอกสารตัวจริงทั้งทะเบียนบ้านและสมุดเงินฝาก แล้วก็ให้ไปนั่งรอ เก้าอี้ยังไม่ทันจะร้อนเลขของผมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ช่องสําหรับชําระเงิน ผมก็เกิดอาการกังวลขึ้นมาอีกครั้ง พอไปถึงเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่คืนเอกสารที่เกินจําเป็น เช่น สําเนาบัตรประชาชน สําเนาบัตรพนักงาน สลิปเงินเดือน พร้อมกับแจ้งให้ผมทราบว่าถ้าวีซ่าได้รับการอนุมัติ ผมต้องเดินทางเข้าญี่ปุ่นภายใน 90 วันนับตั้งแต่วีซ่าได้รับการอนุมัติ ผมก็ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าผมวางแผนเดินทางเข้าญี่ปุ่นวันที่ 25 ธันวาคมอยู่แล้ว กะว่าจะไปฉลองคริสต์มาสที่โน้น แล้ผมก็พบกับคําถามแทงใจอีกครั้ง ไปฉลองคริสต์มาสคนเดียวเหรอค่ะ นั่นไง! เอาเข้าไป ตอกย้ำมันเข้าไป จากนั้นก็กลับมานั่งรอที่เดิม ระหว่างการรอทําให้ผมเข้าใจว่าทําไมผมต้องเจอคําถามนั้นบ่อยๆ ส่วนมากคนที่มาขอวีซ่าไปญี่ปุ่นก็จะมากันเป็นทีม มากันเป็นคู่ เวลายื่นก็สามารถยื่นพร้อมกันได้ ผมเลยถึงบางอ้อว่าทําไมเจ้าหน้าที่ถึงถามผมตลอด คือถ้าไปกันหลายคนก็จะได้แนบคําร้องไปพร้อมกัน สักพักก็ถึงคิวผมชําระเงิน ค่าวีซ่า 1,080 บาท ค่าบริการ 535 บาท รวมแล้ววันนั้นผมจ่ายไป 1,615 บาท ในความเห็นผม ผมว่าสิ่งที่ได้รับจากการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ ผมถือว่าคุ้มค่า อีกอย่างเวลายื่นเอกสารก็สะดวกมากกว่าไปตรงที่สถานฑูตมาก ที่ JVAC เปิดรับยื่นขอวีซ่าและรับหนังสือเดินทางคืนจันทร์-ศุกร์ 08.30 - 16.30 น. สําหรับวันเสาร์เปิดถึง 12.30 น. สําหรับรับหนังสือเดินทางคืน เจ้าหน้าที่ส่งใบนัดรับหนังสือเดินทางวันที่ 5 ตุลาคม รวมแล้วก็ 5 วันทําการ ที่เหลือก็รอลุ้นครับ ในระหว่างการรอผลวีซ่าผมก็เข้าไปตรวจสอบสถานะได้ที่เว็ปเซต์ ของ JVAC (http://www.jp-vfsglobal-th.com/thai/) เนื้อหาในเว็ปนั้นมีให้อ่านมากมายสำหรับผู้ที่จะเตรียมตัวรวมถึงเอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้ครับ ผมถึงไม่บอกไงว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง แต่ในเว็ปก็ไม่สามารถบอกได้ว่าได้รับการอนุมัติหรือไม่ ก็คงได้แต่ลุ้นกันต่อไป
ทาง JVAC นัดให้ผมไปรับหนังสือเดินทางคืนวันอังคาร แต่ว่าช่วงนั้นงานยุ่งก็เลยไปรับวันศุกร์แทน นี่แหละครับข้อดีอีกอย่างกับของการยื่นผ่าน JVAC พอถึงวันศุกร์ก็ลางานครึ่งวันบ่ายไปรับหนังสือเดินทางคืน ระหว่างทางก็อดจิตตกไม่ได้ บอกไม่ถูกนะครับว่ากังวลมากขนาดไหน พอไปถึง JVAC เจ้าหน้าที่ก็ถามเช่นเคยครับ คราวนี้คำตอบผมเปลี่ยนเป็นว่า มารับหนังสือเดินทางแทน แล้วก็ได้เบอร์มาให้นั่งคอย ยังไม่ทันเดินไปนั่งที่เก้าอี้เลยครับ เบอร์ผมก็ขึ้นให้ไปติดต่อรับหนังสือเดินทางคืน เอ้ย! อะไรจะเร็วป่านนั้น ผมยังไม่ได้ทำใจเลยนะ แต่ก็อย่างว่าครับ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างมากถ้าไม่ได้วีซ่าก็หาที่เที่ยวใหม่ แล้วก็ไปที่เคาน์เตอร์รับหนังสือเดินทาง เช่นเคยที่เจ้าหน้าที่จะกล่าวคำทักทายและยกมือไหว้พร้อมกับขอดูใบรับหนังสือเดินทางของผม จากนั้นก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อด้านหลังเพื่อยืนยันว่าได้รับหนังสือเดินทางคืนแล้ว พอผมยื่นคืนใบรับหนังสือเดินทางเจ้าหน้าที่ก็พูดกับผมพร้อมกับรอยยิ้มว่า "วีซ่าได้รับการอนุมัติแล้ว" สุดยอดไปเลยครับ จากนี้ผมคงต้องหาข้อมูลมากขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้แล้ว เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ สู้ต่อไปเคนอิจิ.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น