“ทั้งล้มและลุกต้องทนทุกอย่าง โดดเดี่ยวอ้างว้างบนทางยาวไกล บนเปลือกที่สวยต้องแลกด้วยสิ่งใด ลำบากเท่าไหร่จะไขว่คว้ามา”
ผมได้ยินเพลงนี้ตอนขับรถกลับบ้าน โดนครับ โดนมากๆ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างเนื้อเพลงข้างบนนั้นแหละครับ ผมเชื่อว่ามันคงเคยเกิดขึ้นกับใครหลายๆ คน เมื่อเราหวังที่จะทำอะไรสักอย่าง แล้วก็ผิดหวัง หลายครั้งที่อยากจะล้มเลิก เสี้ยวนึงของความคิด ผมถามตัวเองว่า “จะไปไหน ไปทำไม ไปเพื่ออะไร ไปกับใคร” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เค้าก็จะเป็นคนแรกเสมอที่ผมหันไปแล้วบอกกับเค้าว่า “Happy New Year” คิดแล้วก็เหงานะครับ แต่ก็โชคดีนะว่าเพลงนี้ไม่ได้จบแค่บทนั้น
“ฉันมีเพียงเเค่วันที่หวัง ไม่มีทางให้กลับหลังหัน จ่ายความเป็นคนเพื่อแลกรางวัลให้ใจ ฉันมีเพียงเเค่วันพรุ่งนี้ ฉันไม่มีเมื่อวานให้ใคร จะเป็นจะตายขอไปให้ถึงดาว”
ใช่ครับผมต้องเดินต่อไป แม้ว่าจะต้องเดินคนเดียวก็ตาม มันไม่ใช่เวลาที่จะมาท้อแท้ อย่างไงชีวิตเราก็ต้องเดินต่อไปครับ เค้าไม่มีจะอยู่กับเราได้ตลอดไปหรอก วันนึงก็ต้องตายจากกัน
เวิ้นเว้อมานานยังไม่ได้เข้าเรื่องสักกะที ระหว่างการรอการอนุมัติเข้าเมืองไต้หวัน ผมก็ใช้เวลาช่วงที่เหมือนจะว่างสำหรับการวางแผนท่องเที่ยวของผม เริ่มต้นกับวันแรกของการเดินทาง โอ้ลืมไปเลยครับวันเดินทางของผมเป็นวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม แต่ผมคงจิงกาเบลอยู่บนเครื่องซะเป็นส่วนมาก นับไปนับมาเวลาที่ใช้บนเครื่องหรือ Fly Time ประมาณ 8 ชั่วโมงครับ แต่รวมๆ เวลาเดินทางและการปรับเวลาตามโซนประเทศแล้ว ผมจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 8 โมงเช้าและไปถึงสนามบินนาริตะประมาณ 6 โมงเย็น แต่เวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าเวลาบ้านเรา 2 ชั่วโมง ก็รวมแล้วประมาณ 8 ชั่วโมงครับ
จากการหาข้อมูลการบินของสายการบิน China Airlines แล้วก็ได้รู้ว่าสายการบินนี้ใช้ Terminal 2 ที่เดียวกับ Japan Airlines และ Cathay Pacific เพื่อนๆ ฝากมาให้ศึกษาวิธีการเข้าเมืองแบบใหม่ของญี่ปุ่นด้วย ผมก็เลยต้องจัดการหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ยื่นหนังสือเดินทาง, บัตรเดินทางเข้าออกประเทศญี่ปุ่น (ED Card) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
2. หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้อธิบายขั้นตอนแล้วให้วางนิ้วชี้ข้างซ้ายและข้างขวาบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ
3. เหนือเครื่องอ่านลายนิ้วมือจะมีกล้องถ่ายรูป
4. การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
5. รับหนังสือเดินทางคืนจากเจ้าหน้าที่
ข้อมูลอื่นๆ ของสนามบินนาริตะหาได้จากเว็ปไซต์นี้นะครับ http://www.narita-airport.jp/en/
นั่นก็เป็นข้อมูลที่หามาได้ครับ แต่ของจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตอบคำถามอะไรบ้าง แต่เท่าที่อ่านๆ จากหนังสือของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ บอกว่าให้เตรียมข้อมูลพร้อมหลักฐานเกี่ยวกับตัวเองเอาไว้ให้เท่าที่จะพิสูจน์ว่าไม่ได้มาทำมาหากินที่นี่ ผมก็เลยคิดว่าจะเตรียมหนังสือรับรองการทำงาน นามบัตร โปรแกรมการเดินทางไว้ในกระเป๋าที่จะนำขึ้นเครื่องด้วย ประมาณว่าถามอะไรก็ตอบไป (ขอให้ฟังรู้เรืองเป็นพอ พ่อคุณ!)
เมื่อเสร็จจากด่านของด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าและศุลกากรแล้ว โจทย์ของผมต่อไปก็คือแล้วจะเข้าเมืองอย่างไร เมื่อคำนวณจากแผนการใช้ JR Rail Pass ที่ผมกะว่าจะซื้อแบบ 7 วัน แต่การเดินทางรวมไปกลับแล้วปาเข้าไป 8 วันดังนั้นก็ต้องมีขาใดขาหนึ่งที่ต้องจ่ายเงินเอง งั้นก็เอาขาแรกเลยแล้วกันนะ เผื่อว่าวันสุดท้าย Shopping เพลิน
การเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียวมีหลายวิธีครับ แต่ที่เหมาะกับฐานานุรูปของผมก็น่าจะเป็นรถไฟ แต่ก็นั่นอีกแหละรถไฟก็มีหลายสายให้เลือก ทั้ง NEX (Narita Express ของ JR) หรือ Keisei ราคาก็แตกต่างกันไป
ตอนแรกก็กะว่าจะขึ้น Keisei เพราะว่าค่ารถถูกครับ 1,000 เยน แต่พอได้ไปอ่านเว็ปไซต์ของ JR แล้วก็ได้รู้ความจริงว่ามีโปรโมชั่นบัตร NEX+Suica (http://www.jreast.co.jp/e/suica-nex/) แค่ 3,500 เยน อาจจะดูแพงกว่า Keisei นิดหน่อย แต่ถ้าต้องเปลี่ยนสายรถจากสถานนีที่ Keisei จอดเพื่อไปที่โรงแรม ก็นับว่าวุ่นวายพอดู คิดได้อย่างนั้นก็ต้องเตรียมเงินสำหรับซื้อบัตรนี้ซะแล้วครับ นอกจากใช้ขึ้นรถไฟแล้วบัตรนี้ยังสามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วย (เค้าว่าอย่างนั้น)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น