วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Japan Air Ticket was issued

เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ น้อยผ่านไปได้ด้วยดี ผมไม่รอช้าที่จะส่งเอกสารด้วยตนเอง ขีดเส้นใต้ด้วยคนเองให้กับ Agency ของผม คงไว้ใจกับระบบการส่งเดิมๆ ยากแล้วล่ะครับ การขอวีซ่าเข้าไต้หวันใช้เวลาไม่นานครับ ยื่นวันนี้เช้า พรุ่งนี้บ่ายก็สามารถรับเล่มคืนได้ เมื่อวีซ่าเข้าไต้หวันผมผ่านแล้ว เพื่อความไม่ประมาทผมจึงต้องตรวจสอบว่าปัจจุบันราคาตั๋วที่รวมภาษีแล้วเป็นเท่าไหร่ ผมเข้าไปทำรายการในเว็บไซต์ของ China Airlines ปรากฎว่าไม่สามารถเช็คราคาผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เพราะว่าตั๋วถูกจองเต็มหมดแล้ว โชคดีมากๆ ที่ผมจองผ่านพนักงาน ไม่งั้นคงไม่มีตั๋วแน่ๆ ผมได้โทรสอบถามกับพนักงานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าบัตรเครดิตผมมีวงเงินเหลือเพียงพอ ณ วันที่ผมโปรไปราคาอยู่ที่ 21,175 บาท อย่างน้อยก็ถูกกว่าที่ประมาณการไว้ จำได้ไหมว่าผมประมาณการไว้เท่าไหร่ (ร่วมสนุกด้วยกันส่ง SMS เข้ามา ท่านแรกที่ตอบถูกจะได้ขอฝากจากญี่ปุ่นเป็นหิมะที่น่าจะละลายแล้ว อิอิ) จริงๆ แล้วกำหนดการออกตั๋วของวันที่ 22 พฤศจิกายน แต่ด้วยความเห่อ ป่าวหรอกครับออกตั๋วก่อนจองที่นั่งได้ก่อน และก็ไม่แน่ว่าอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าค่าภาษีอาจจะขึ้นได้ ราคานี้เป็นราคาที่ผมพอใจแล้ว
เสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน จริงๆ อาทิตย์ที่แล้วดูรายการศึก 12 ราษีหมอลักษณ์บอกว่าเป็นดี เหมาะกับการทำการมงคล ผมก็เลยเอาฤกษ์วันนี้แหละทำซะทุกอย่าง วันนี้นอกจากจะไปออกตั๋วแล้ว ยังต้องไปรับเล่มหนังสือเดินทางคืนจาก Agency ด้วย หลังจากนั้นเปลี่ยนยางที่เรียกว่าพร้อมจะระเบิดตลอดเวลา หากตังค์เหลือจะไปเปลี่ยนฟิล์มกันแดดหน้ารถที่หมดอายุ เป็นอย่างไงครับแผนการเดินทางในวันฤกษ์ดีของผม ตกลงนี่มันวันจ่ายตรุษจีนหรือวันอะไรเนี่ย และด้วยความรีบร้อนของผมทำให้ผมลืมเอาตั๋ว MRT และ BTS ไปด้วย ดังนั้นง่ายๆ ครับพี่น้อง จ่ายแหลก!
ผมไปจอดรถไว้ที่สถานีลาดพร้าวเช่นเคย แล้วก็นั่ง MRT ไปลงที่สุขุมวิทครับ จากนั้นก็ต่อ BTS ไป พร้อมพงษ์ แต่ตีตัวไปชิดลม ให้ Agency ของผมมาส่งเอกสารที่ประตูทางเข้า แบบว่าไม่เสียตังค์ทั้งคู่อ่ะครับ ยืนยันนะว่าไม่ได้งง แต่รู้จักใช้แค่นั้นเอง เมื่อรับเอกสารเสร็จแล้วก็นั่ง BTS จากพร้อมพงษ์มาลงที่ชิดลมครับ ลืมบอกไปเลยว่าสำนักงานของ China Airlines อยู่ที่เพนนิซูล่าพลาซ่าครับ ก็เดินเลาะๆ ไปทางพระพรหมเอราวัณนั่นแหละครับ เอาเข้าจริงก็ไกลพอดูนะ
ไปถึงประมาณ 10 โมงเช้าร้านรวงเค้ายังไม่เปิดกันครับ China Airlines อยู่ที่ชั้น 4 ครับขึ้นบันได้เลื่อนไปเรื่อยๆ วันนี้คนไม่มีเลยครับ ในช่วงนั้นมีผมคนเดียวที่เข้าไปออกตั๋ว ไปถึงก็ยื่นบัตร Dynasty Member มันก็เป็นบัตรสะสมไมล์ของสายการบินนี้ครับ พี่ที่เค้าออกตั๋วให้ผม พี่เค้าแจ้งผมว่าไปนาริตะใช้ 55,000 ไมล์ แต่ต้องจ่ายค่าภาษี ประมาณ 4,600 บาท พี่เค้าคิดว่าผมจะใช้ไมล์ใบบัตรแลกตั๋วเครื่องบิน โธ่พี่ค๊าบ! ไมล์สะสมน้อยเท่าหอยมดจะบินไปไหนได้ครับ เมื่อทำความเข้าใจกันแล้วพี่เค้าก็ดำเนินการออก E-Ticket ให้ครับ ไม่มีอะไรมากก็คล้ายๆ กับกระดาษธรรมดา แล้วถึงเวลาที่ต้องคำนวณค่าเสียหายครับ รวมแล้วผมต้องจ่ายไปทั้งหมด 21,170 บาทครับ นี่ผมกำลังจะไปญี่ปุ่นจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย

Finally about my passport

หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังสือเดินทางและเอกสารต่างๆ ของผม ระหว่างทางกลับบ้านก็คิดให้กำลังใจตัวเอง เอาว่ะ ก็มันหายแล้ว อย่างไงก็ต้องเดินทางต่อ อย่างมากก็แค่ทำใหม่ มันคงไม่ยากอะไรที่จะเริ่มใหม่อีกครั้ง ก็เคยผ่านมันมาแล้วนิ ไม่แปลกที่จะนับ 0 อีกครั้ง ล้มได้ก็ลุกได้คิดได้อย่างนั้นก็เรียกสติสตางค์กลับมาได้บ้างครับ ที่ท้อขนาดว่าจะไม่ไปญี่ปุ่นก็เลิกไป มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไงก็ต้องไปให้ได้ครับ เดี๋ยวไม่มีอะไรมาเขียนให้ทุกคนอ่าน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงลุ้นกับผมอยู่เหมือนกัน กับแค่อุปสรรคแค่นี้ เด็กๆ ครับ ลุ้นมากกว่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ (เรื่องแรกของผมไง กลับไปอ่านซะ)
          กลับมาถึงบ้านสิ่งที่ผมต้องตกตะลึงก็คือ ซองจดหมายจากไปรษณีย์ที่จ่าหน้าถึงผม ส่งโดยไปรษณีย์เองเนื่องจากว่าไม่มีการติดแสตมป์ ผมรีบเปิดออกดู ไม่น่าเชื่อครับท่านผู้ชม เอกสารตัวจริงผมทั้งหมดที่ส่งไปอยู่ในซองนั้นทั้งหมด หนังสือเดินทาง สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีธนาคาร ไม่มีจดหมายอะไรบอกผมทั้งสิ้น หน้าซองเขียนไว้ว่า คืนบัตรจากการไขตู้งงไหมครับ
อย่าว่าแต่คุณเลย ผมถึงกับอึ้งกิมกี่ไปนาน ใจนึงก็ดีใจคับที่ได้เอกสารกลับคืนมา แต่ความสงสัยในฐานะโคนันน้อยก็เกิดขึ้น ทำไมเอกสารผมถึงแยกไป 2 ที่ ทั้งๆ ที่ส่งในซองเดียวกัน มีคนเปิดซองเอกสารลงทะเบียนผมหรือ จริงๆ แล้วถ้าไปรษณีย์เปิดเอกสารผม ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเค้าก็คงมีสิทธิที่จะตรวจสอบซองที่ต้องสงสัย แต่ที่ผมงงก็คือ ตรวจแล้วทำไมไม่ใส่เข้าไปในซองเดิมแล้วส่งให้กับผู้รับ แต่กลับส่งกลับมาที่ผู้ส่งทำไม ผมคงต้องสอบถามหาความจริงเพื่อหายข้อสงสัยในเร็ววันนี้ครับ
          ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะครับ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

When my passport not found!

           ระหว่างการรอผลการพิจารณาวีซ่าเข้าไต้หวัน Agency ที่รับยื่นวีซ่าให้กับผมโทรมาแจ้งผมว่าไม่พบหนังสือเดินทางตัวจริง รวมถึงเอกสารตัวจริงอื่นๆ ของผม พบแต่เอกสารสำเนาและรูปถ่าย เฮ้ย! ก็ผมใส่เข้าไปในซองเองกับมือ แล้วมันหายไปไหนล่ะ นั่นคือคำถามที่ผมถามกับเค้า เชื่อไหมครับหลังจากรู้ว่าหนังสือเดินทางผมหายไป อาการหน้ามืด ตามัว หูอื้อก็เกิดขึ้น บอกตรงๆ ครับว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไงดี นี่ผมต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดใช่ไหม ผมสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งปวงเท่าที่สติตอนนั้นจะทำได้ ผมต้องเริ่มจากไปแจ้งความ จากนั้นไปติดต่อเทศบาลเพื่อทำสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ ติดต่อสถานกงศุลเพื่อทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ไป JVAC อีกครั้งเพื่อขอวีซ่าญี่ปุ่นอีกครั้ง คิดรวบยอดแล้วผมคงต้องลางานอีกไม่น้อยกว่า 5 วันเป็นแน่ เป็นครั้งแรกที่ผมกินข้าวไม่ลง คงไม่ต้องบอกว่าเซ็งขนาดไหน
ผมโทรไปสอบถามที่ลูกค้าสัมพันธ์ของไปรษณีย์ไทย เจ้าหน้าที่ก็ให้บริการผมดี อย่างน้อยๆ ผมก็ได้ความรู้มาว่าเอกสารที่ผมส่งไปเสียค่าธรรมเนียมการส่ง 22 บาท ซึ่ง 13 บาทเป็นค่าลงทะเบียน ส่วนที่ 9 บาทเป็นค่าจดหมายแล้วอัตราที่ผมจ่ายแสดงให้เห็นว่าน้ำหนักจะต้องมากกว่า 100 กรัมแต่ไม่เกิน 250 กรัมจึงจะอยู่ในอัตราดังกล่าว ประมาณการจากคนที่ทำงานกับเอกสารทุกวัน กระดาษธรรมดา 20 แผ่นก็ไม่น่าจะหนักเกินกว่า 100 กรัมนั่นก็น่าจะมีหนังสือเดินทางผมอยู่ในนั้นด้วยเป็นแน่ แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าน้ำหนักที่ผมส่งจริงๆ เท่าไหร่ คิดไปคิดมาเหมือนเป็นนักสืบน้อยโคนันเลยอ่ะ
           มาถึงรถสิ่งแรกที่ผมทำคือตรวจสอบใบนำส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ผมเองก็มีความสงสัยในตัวเองเหมือนกันว่า หรือว่าผมจะมึนขนาดที่ลืมส่งหนังสือเดินทางไปด้วย ดูแล้วน้ำหนักที่ผมส่งเอกสารไปวันนั้นก็ตั้ง 2 ขีดกว่าๆ ก็ไม่น่าจะมีแค่เอกสารเฉยๆ น่าจะมีหนังสือเดินทางด้วย ผมก็พยายามโทรติดต่อกับ Agency เพื่อสอบถามให้มั่นใจว่าเค้าได้รับหนังสือเดินทางตัวจริงของผมหรือป่าว เค้าก็ยืนยันว่าไม่มีหนังสือเดินทางของผมจริงๆ ผมสอบถามต่อว่าซองเอกสารของผมมีรอยเปิดหรือไม่ ผู้รับก็ตอบว่าซองเอกสารเป็นปกติไม่มีรอยเปิดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้ผมกังวลเข้าไปอีก ตลอดทางกลับบ้านยอมรับว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าผมไปแจ้งความแล้วทำหนังสือเดินทางใหม่ ปรากฏว่าหลังจากนี้มีคนพบหนังสือเดินทางผม แต่หนังสือเดินทางถูกยกเลิกไปแล้ว ผมก็ต้องเริ่มดำเนินการใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าปล่อยให้ช้าไปผมก็จะทำเอกสารไม่ทัน เพราะว่าผมจะต้องออกตั๋วภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถ้าทุกคนยังจะจำได้ คิดแล้วเครียดนะ เรื่องง่ายๆ ที่ใครไม่โดนกับตัวเองไม่รู้หรอกครับ เป็นไปได้เหรอครับเอกสารที่ส่งไปซองเดียวกัน แต่เอกสารสำเนาถึงมือผู้รับแต่เอกสารตัวจริงหายไป หรือว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมจะจบลงตรงนี้ครับ  

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

It’s not time for despondent!


ทั้งล้มและลุกต้องทนทุกอย่าง โดดเดี่ยวอ้างว้างบนทางยาวไกล บนเปลือกที่สวยต้องแลกด้วยสิ่งใด ลำบากเท่าไหร่จะไขว่คว้ามา
ผมได้ยินเพลงนี้ตอนขับรถกลับบ้าน โดนครับ โดนมากๆ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างเนื้อเพลงข้างบนนั้นแหละครับ ผมเชื่อว่ามันคงเคยเกิดขึ้นกับใครหลายๆ คน เมื่อเราหวังที่จะทำอะไรสักอย่าง แล้วก็ผิดหวัง หลายครั้งที่อยากจะล้มเลิก เสี้ยวนึงของความคิด ผมถามตัวเองว่า จะไปไหน ไปทำไม ไปเพื่ออะไร ไปกับใคร ตลอดเวลาที่ผ่านมา เค้าก็จะเป็นคนแรกเสมอที่ผมหันไปแล้วบอกกับเค้าว่า “Happy New Year” คิดแล้วก็เหงานะครับ แต่ก็โชคดีนะว่าเพลงนี้ไม่ได้จบแค่บทนั้น
ฉันมีเพียงเเค่วันที่หวัง ไม่มีทางให้กลับหลังหัน จ่ายความเป็นคนเพื่อแลกรางวัลให้ใจ ฉันมีเพียงเเค่วันพรุ่งนี้ ฉันไม่มีเมื่อวานให้ใคร จะเป็นจะตายขอไปให้ถึงดาว
ใช่ครับผมต้องเดินต่อไป แม้ว่าจะต้องเดินคนเดียวก็ตาม มันไม่ใช่เวลาที่จะมาท้อแท้ อย่างไงชีวิตเราก็ต้องเดินต่อไปครับ เค้าไม่มีจะอยู่กับเราได้ตลอดไปหรอก วันนึงก็ต้องตายจากกัน
เวิ้นเว้อมานานยังไม่ได้เข้าเรื่องสักกะที ระหว่างการรอการอนุมัติเข้าเมืองไต้หวัน ผมก็ใช้เวลาช่วงที่เหมือนจะว่างสำหรับการวางแผนท่องเที่ยวของผม เริ่มต้นกับวันแรกของการเดินทาง โอ้ลืมไปเลยครับวันเดินทางของผมเป็นวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม แต่ผมคงจิงกาเบลอยู่บนเครื่องซะเป็นส่วนมาก นับไปนับมาเวลาที่ใช้บนเครื่องหรือ Fly Time ประมาณ 8 ชั่วโมงครับ แต่รวมๆ เวลาเดินทางและการปรับเวลาตามโซนประเทศแล้ว ผมจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 8 โมงเช้าและไปถึงสนามบินนาริตะประมาณ 6 โมงเย็น แต่เวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าเวลาบ้านเรา 2 ชั่วโมง ก็รวมแล้วประมาณ 8 ชั่วโมงครับ
จากการหาข้อมูลการบินของสายการบิน China Airlines แล้วก็ได้รู้ว่าสายการบินนี้ใช้ Terminal 2 ที่เดียวกับ Japan Airlines และ Cathay Pacific เพื่อนๆ ฝากมาให้ศึกษาวิธีการเข้าเมืองแบบใหม่ของญี่ปุ่นด้วย ผมก็เลยต้องจัดการหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ยื่นหนังสือเดินทาง, บัตรเดินทางเข้าออกประเทศญี่ปุ่น (ED Card) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
2. หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้อธิบายขั้นตอนแล้วให้วางนิ้วชี้ข้างซ้ายและข้างขวาบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ
3. เหนือเครื่องอ่านลายนิ้วมือจะมีกล้องถ่ายรูป
4. การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
5. รับหนังสือเดินทางคืนจากเจ้าหน้าที่
ข้อมูลอื่นๆ ของสนามบินนาริตะหาได้จากเว็ปไซต์นี้นะครับ http://www.narita-airport.jp/en/
นั่นก็เป็นข้อมูลที่หามาได้ครับ แต่ของจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตอบคำถามอะไรบ้าง แต่เท่าที่อ่านๆ จากหนังสือของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ บอกว่าให้เตรียมข้อมูลพร้อมหลักฐานเกี่ยวกับตัวเองเอาไว้ให้เท่าที่จะพิสูจน์ว่าไม่ได้มาทำมาหากินที่นี่ ผมก็เลยคิดว่าจะเตรียมหนังสือรับรองการทำงาน นามบัตร โปรแกรมการเดินทางไว้ในกระเป๋าที่จะนำขึ้นเครื่องด้วย ประมาณว่าถามอะไรก็ตอบไป (ขอให้ฟังรู้เรืองเป็นพอ พ่อคุณ!)
เมื่อเสร็จจากด่านของด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าและศุลกากรแล้ว โจทย์ของผมต่อไปก็คือแล้วจะเข้าเมืองอย่างไร  เมื่อคำนวณจากแผนการใช้ JR Rail Pass ที่ผมกะว่าจะซื้อแบบ 7 วัน แต่การเดินทางรวมไปกลับแล้วปาเข้าไป 8 วันดังนั้นก็ต้องมีขาใดขาหนึ่งที่ต้องจ่ายเงินเอง งั้นก็เอาขาแรกเลยแล้วกันนะ เผื่อว่าวันสุดท้าย Shopping เพลิน
การเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียวมีหลายวิธีครับ แต่ที่เหมาะกับฐานานุรูปของผมก็น่าจะเป็นรถไฟ แต่ก็นั่นอีกแหละรถไฟก็มีหลายสายให้เลือก ทั้ง NEX (Narita Express ของ JR) หรือ Keisei ราคาก็แตกต่างกันไป
            ตอนแรกก็กะว่าจะขึ้น Keisei เพราะว่าค่ารถถูกครับ 1,000 เยน แต่พอได้ไปอ่านเว็ปไซต์ของ JR แล้วก็ได้รู้ความจริงว่ามีโปรโมชั่นบัตร NEX+Suica (http://www.jreast.co.jp/e/suica-nex/) แค่ 3,500 เยน อาจจะดูแพงกว่า Keisei นิดหน่อย แต่ถ้าต้องเปลี่ยนสายรถจากสถานนีที่ Keisei จอดเพื่อไปที่โรงแรม ก็นับว่าวุ่นวายพอดู คิดได้อย่างนั้นก็ต้องเตรียมเงินสำหรับซื้อบัตรนี้ซะแล้วครับ นอกจากใช้ขึ้นรถไฟแล้วบัตรนี้ยังสามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วย (เค้าว่าอย่างนั้น)

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Visa Apply Again!

               ไม่ต้องตกใจหรืองงครับที่ผมบอกว่าต้องขอวีซ่าอีก แต่คราวนี้เป็นวีซ่าเข้าประเทศไต้หวันครับ จากความเดิมตอนที่ผ่านๆ มา (ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนไหน) ขากลับจากญี่ปุ่นผมวางแผนแวะเข้าไต้หวัน 2 วันครับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีงาน Taipei Flora Expo ก็คล้ายๆ กับงานราชพฤกษ์บ้านเราแหละครับ งานนี้เปิดให้ชมระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน 2553 ถึง 25 เมษายน 2554 รายละเอียดตามไปอ่านกันได้ที่ http://www.2010taipeiexpo.tw/mp.asp?mp=4 ซึ่งก็เป็นช่วงที่ผมต้องเดินทางผ่านไต้หวันพอดี โอกาสมาขนาดนี้แล้วก็ต้องรีบคว้าไว้ครับ ผมก็ต้องยื่นวีซ่าไต้หวันอีกประเทศครับ แต่วีซ่าไต้หวันไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยื่นเอง สามารถใช้ตัวแทนไปยื่นได้ จากการเดินทางเข้าประเทศไต้หวันของผม 2 ครั้งที่ผ่านมา ผมก็ไม่เคยไปยื่นวีซ่าเองเลยครับ อาศัยเพื่อนรักที่ทำงานแถวๆ นั้นโดดงานไปยื่นให้
                สำหรับผู้ที่จะไปยื่นวีซ่าไต้หวันด้วยตัวเอง ต้องติดต่อที่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย (Taipei Economic and Cultural Office in Thailand) ตั้งอยู่ที่ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 20 ครับ สามารถนั่ง BTS ไปลงที่สถานีช่องนนทรี ครับแล้วก็เดินไปอีกนิดเดียว ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์ จะอยู่หัวมุมถนน ข้อมูลอย่างละเอียดเข้าไปดูตามรีวิวของสมาชิก hflight.net ได้นะครับ คุณ nathann เค้าทำไว้ละเอียดมากๆ http://www.hflight.net/forum/m-1180270090/  
                การเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าไต้หวันก็อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากการยื่นวีซ่าญี่ปุ่น ก็ไปหาข้อมูลกันเอาเองเช่นเคยครับ โตๆ กันแล้ว งานนี้มีค่าเสียหายเป็นค่าวีซ่า 1,800 บาท และค่าบริการอีก 500 บาทครับ แต่ยังโชคดีที่คราวนี้ไม่ต้องลางาน ประหยัดวันลาไปได้อีก 2 วัน ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเลยใช้เวลากับการเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าไต้หวันครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

First Step of Japan Travel Preparation

               เมื่อวีซ่าได้รับการอนุมัติแล้วจากที่ผมเคยอ่านหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นมา เค้าบอกว่าสามารถที่จะหาข้อมูลการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มเติมได้ที่ องค์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization) โดยที่สำนักงานดังกล่าวจะมีเอกสารการท่องเที่ยวญี่ปุ่นไว้ให้บริการมากมาย เรื่องฟรีๆ อย่างนี้มีเหรอคนอย่างผมจะพลาด ไม่ได้งกนะ แต่รู้จักใช้เงิน ดังนั้นเมื่อผมได้วีซ่าเข้าญี่ปุ่นแล้ว ผมจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปหาข้อมูลที่องค์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ ณ อาคารรามาแลนด์ เดินทางอาคาร   สีลมคอมเพล็กซ์ไปไม่ไกลหรอกคัรบ วิธีการไปก็ง่ายมาก เดินเลาะจากมุมถนนสีลมฝั่งร้านแมคไปเรื่อยๆ หน้าตึกก็จะมีช้าง 2 เชือกอยู่ครับ จากนั้นก็เดินเข้าไป ด้านประตูที่เรียนว่ารามาแลนด์ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นร้านขายดอกไม้ และบริษัท JTB ที่บริษัทนี้แหละครับที่เราสามารถซื้อ JR Rail Pass ได้ ผมว่าอย่าเพิ่งพูดกันเรื่อง JR Rail Pass เลยนะ เพราะผมคงก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนเลย รู้อย่างเดียวว่าไปไหนก็ได้เอาให้คุ้ม  ก่อนขึ้นลิฟท์อย่าลืมแลกบัตรนะครับ องค์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอยู่ชั้น 19 ครับ พอขึ้นไปก็เหมือนเล่นเกมเขาวงกตครับ แต่ไม่ต้องกลัวหลงมีป้ายบอกตลอดทาง ข้างในองค์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมีเอกสารแจกฟรี ใครใคร่จะเที่ยวแถวไหนก็หยิบเอกสารได้ตามชอบครับ แต่ถ้าต้องการจะปรึกษากับเจ้าหน้าที่ก็คงจะต้องมาติดต่อช่วงเช้าครับ พอดีว่าผมไปช่วงบ่ายก็เลยได้แต่หยิบเอกสารมาศึกษาเอง   
ผมใช้เวลากว่า 1 ปีในการหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ การเดินทางรวมถึงอาหารการกิน แต่มาจนถึงวันนี้แล้วผมเองก็ยังรู้สึกว่ายังไม่รู้อะไรมากเท่าไหร่สำหรับประเทศญี่ปุ่น
                ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งในฝันของใครหลายๆ คนรวมถึงผมด้วย เมื่อก่อนนี้ก็มีโอกาสไปเที่ยวไปประเทศใกล้ๆ อย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง การเตรียมตัวก็คงไม่มีอะไรมาก แต่นี่ไปญี่ปุ่นครับ ขีดเส้นใต้ ญี่ปุ่น เมืองที่ได้ชื่อว่าค่าครองชีพแพงติดอันดับของโลก ถ้าผมไม่ทำการบ้านเลยคงกระเป๋าฉีกแน่ๆ แต่ก็ยังไม่มั่นใจครับว่าไปจริงๆ แล้วกระเป๋าจะฉีกหรือป่าว หลายคนที่ไปแล้วบอกว่าญี่ปุ่นมีของที่น่าซื้อหลายอย่าง ต้องใจแข็งมากๆ ไอ้ผมมันก็คนใจไม่ง่าย แต่จ่ายไม่ยากซะด้วย
ถ้าถามว่าพูดถึงญี่ปุ่นแล้วนึกถึงอะไร ในความคิดผู้ใหญ่อย่างผมก็คงไม่พ้น..โตเกียวดีสนีย์แลนด์ครับ ไม่ใช่เป็นเฒ่าทารกนะ แต่ผมเชื่อว่าครั้งนึงตอนที่ทุกคนเป็นเด็กก็ฝันอยากไปสวนสนุกกันทั้งนั้น ย้อนอดีตวันไหนที่เราจะได้ไปเที่ยวแดนเนรมิตรสิครับ (น้องๆ รุ่นใหม่ๆ คงเกิดไม่ทันหรอก) มันตื่นเต้นขนาดไหน วันนี้ที่ผมรู้สึกว่าจะได้ไปเที่ยวโตเกียวดีสนีย์แลนด์ก็คงรู้สึกไม่แตกต่าง
                นอกจากไปสวนสนุกแล้ว สิ่งหนึ่งที่คงหาจากบ้านเราไม่ได้คือ หิมะ ครับ เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยเห็นของจริงเลย ก็กะว่าคราวนี้คงจะนั่งรถไฟไปเรื่อยๆ เห็นหิมะเมื่อไหร่ ลงเมือนั้น ก็คนมันไม่เคยเห็นนิครับ ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่เมืองร้อนถึงร้อนมากมาตลอด เมื่อพูดถึงหิมะแล้วก็นึกถึงการแช่น้ำพุร้อน ว้าว! ไม่ต้องบรรยายนะว่าต้องทำอย่างไงบ้างเวลาลงแช่น้ำพุร้อน ผมก็พร้อมมากๆ อ่ะครับ
1 ปีที่ผ่านมา ผมหาข้อมูลจากหนังสือท่องเที่ยวหลายเล่มอ่านทั้งไทยและเทศก็ว่าได้ ต้องขอบคุณนักเขียนที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผม ทุกคนช่างเก่งกาจอาจหาญกันจริงๆ ครับ บางคนใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยเงินที่ไม่ถึงพันบาทต่อวัน มันจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายผมมาก ไปคนเดียวนิครับ อย่างไงก็ต้องรับผิดชอบปากท้องตัวเอง
อีกเว็ปไซต์นึงที่จะสามารถทำให้เราเข้าใจญี่ปุ่นมากขึ้นก็คงไม่พ้นเว็ปขององค์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น (http://www.yokosojapan.org/) รายละเอียดดีมาก ทำให้เราสามารถเข้าใจญี่ปุ่นในภาพรวมๆ ได้ ได้รู้ว่าที่ญี่ปุ่นมีที่เที่ยวที่ไหนที่คนอื่นๆ เค้าไปกันบ้าง อย่างไงก็ลองเข้าไปอ่านกันดูนะครับ รับรองจะติดใจ
ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าหนาวของญี่ปุ่นครับ อากาศเท่าที่อ่านในหนังสือหรือเว็บไซต์ก็น่าจะประมาณเลขหลักเดียว ก็ยังดีครับ ดีกว่ามีเครื่องหมายลบข้างหน้า การเตรียมตัวเที่ยวหน้าหนาวที่ญี่ปุ่นคงต้องเตรียมเสื้อผ้าอย่างหนา แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ครับว่าต้องหนาขนาดไหนถึงจะอุ่นพอ เพื่อนๆ หลายคนขู่ผมต่อว่าต้องเตรียมถุงมือและหมวกแบบในซีรีย์เกาหลีด้วย ว้าว คิดไม่ออกเลยว่าตัวเตี้ยๆ อย่างผมเวลาใส่แบบในหนังแล้วจะออกมาทุกเรศทุรังขนาดไหน
พูดถึงการวางแผนท่องเที่ยวของผมก็คงไม่มีอะไรโลดโผนนัก เวลาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นของผม 8 วัน 7 คืน หักกลบลบวันที่เดินทางออก ผมก็จะเหลือ 6 วัน 7 คืนครับ แน่นอนว่าคืนวันที่ 31 ธันวาคม ผมคงต้องไปร่วมกับงาCountdown (แล้วจะกลับโรงแรมถูกไหมเนี่ย) สถานที่อื่นๆ ที่อยากไปก็คงอย่างที่ผมได้วาดฝันได้ 1 วันเต็มๆ สำหรับโตเกียวดีสนีย์แลนด์, 1 วันดีสนีย์ซี, 1 วันไปไหนก็ได้ที่ได้เห็นหิมะ อย่างที่ผมบอกไปเรื่อยๆ เจอหิมะเมื่อไหร่ก็ลงเมื่อนั้น ถ่ายรูปให้หน้ำใจแล้วกลับมาหาบ่อน้ำพุกร้อนแช่ บ้าไปไหมเนี่ย!, 1 วันสำหรับนั่งรถไฟชมความงามไปเรื่อยๆ อาจจะไปถึง ฟูกูโอกะ เลยก็ได้ เพราะว่าใช้เวลาแค่ 4 ชั่วโมงจากโตเกียว (อันนี้แค่คิดนะ ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ขนาดไหน) คาดว่าวันนี้คงเป็นวันที่ใช้ตั๋ว JR Rail Pass ได้คุ้มที่สุด ที่เหลือยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปไหนดี หรือว่าจะไปเกียวโตอีกรอบ ไปได้อยู่แล้วนิ ก็ใช้ตั๋ว JR Rail Pass เค้าบอกว่าจะขึ้นรถไฟ Shinkansen กี่รอบก็ได้
นอกจากเรื่องเที่ยวแล้ว เรื่องอาหารการกินก็คงเป็นอีกเรื่องที่ใฝ่ฝันไว้ ว่าไปแล้วอาหารญี่ปุ่นที่ผมชอบๆ ก็มีหลายอย่างนะครับ ทั้ง กุ้งเทมปุระ ข้าวปั้น ปลาดิบ แล้วก็โซบะ อุ๊ย! พูดแล้วหิวอ่ะ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ญี่ปุ่นจะรสชาติเหมือนบ้านเราหรือป่าว คงต้องหาข้อมูลกันอีกแหละ

Japan Air Ticket & Accommodation Plan

ช่วงที่ผมวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นช่วงที่โครตไฮก็ว่าได้ ทั้งคริสต์มาส ทั้งปีใหม่ ตั๋วเครื่องบิน จึงเป็นอีกเรื่องที่ผมวางใจไม่ได้ ปีที่ผ่านมากว่าจะได้ตั๋วเล่น Waited list รอเป็นเดือนเลย คราวนี้ผมจะไม่พลาดอีกเสาร์อาทิตย์นั้นผมใช้เวลากับการหาตั๋วที่เหมาะแก่ฐานานุรูปของผม หลายสายการบินที่ผมเคยใช้บริการล้วนแล้วแต่มีเที่ยวบินไปญี่ปุ่น แต่คุณพระช่วย! นั่นมันราคาหรือรหัสเที่ยวบินครับ ทําไมมันถึงแพงขนาดนั้น สายการบินในฝันของผมอย่าง Singapore Airlines ที่ต้องเดินทางไปนาริตะด้วยเครื่อง A380 หรือเครื่องบิน 2 ชั้นก็ราคาปาเข้าไป 3 หมื่นกว่า ไม่ไหวอ่ะครับ ค่าตั๋วเกินกว่า 50% ของงบที่ตั้งไว้ แต่ผมไม่ย่อท้อครับ หามันต่อไป เทคนิคอย่างหนึ่งของตั๋วราคาพอประมาณคือคุณต้องยอมเปลี่ยนเครื่อง หรือที่ภาษาคนสายการบินเค้าเรียกว่า Transit นั่นแหละครับ หลายคนอาจจะไม่ชอบการ Transit แต่สําหรับคนที่รักการเดินทางอย่างผมแล้ว ผมมองว่าการ Transit ก็ทําให้เรามีโอกาสได้เที่ยวสนามบินของเมืองที่เราไป Transit บางที่อาจจะแวะเข้าไปเที่ยวในเมืองได้ด้วยซ้ำไป อย่างตอนที่ผมมีโอกาสไปเที่ยวบาหลี ก็ Transit ที่สิงคโปร์ ได้เข้าไปที่ Orchard ซื้อของสัก 5-6 ชั่วโมง แค่นั้นก็หมดไปหลายแล้ว อีกอย่างที่เป็นข้อดีของการเปลี่ยนเครื่องคือได้ทานข้าว 2 รอบในราคาที่ถูกกว่ารอบเดียว อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวครับ ไม่สงวนสิทธิ์หากต้องการเลียบแบบ
                ผมจึงหาสายการบินที่มีการเปลี่ยนเครื่องก็ได้มา Cathay Pacific เปลี่ยนเครื่องที่ Hong Kong, Malaysia Airlines เปลี่ยนเครื่องที่ Kuala Lumpur และ China Airlines เปลี่ยนเครื่องที่ Taipei อีกอย่างที่ผมนํามาพิจารณาคือเวลาที่ใช้ Transit ครับ บางที่รอกันข้ามคืน บางที่รอกันเป็นวัน ดังนั้นหากการ Transit ของคุณยาวนานก็ต้องพิจารณาต่อว่าสนามบินที่ Transit นั้นมีสิ่งอํานวยความสะดวกและความบันเทิงบ้าง จะได้ไม่รู้สึกว่าเวลารอคอยมันยาวนานมาก ผมจึงมาตกลงปลงใจที่ China Airlines ด้วยเวลา Transit ไม่ยาวนานมากนักและเวลาที่ไปถึงนาริตะก็ไม่ดึกเกินไปประมาณ 18.00 น. ก็น่าจะเข้าเมืองได้ทัน
                ไหนๆ ก็เดินทางด้วย China Airlines แล้วผมก็เลยคิดว่าช่วงขากลับจะแวะเยี่ยมเพื่อนที่ไทเปสัก 2 วัน ดังนั้นตารางการท่องเที่ยวของผมก็จะกลายเป็น 10 วัน 2 ประเทศออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเช้าวันที่ 25 ธันวาคม เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเถาหยวน ไต้หวัน ถึงสนามบินนาริตะประมาณ 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าประเทศเรา 2 ชั่วโมง หลังจาก Countdown 2011 เสร็จเช้าวันที่ 1 มกราคมผมจะออกเดินทางจากสนามบินนาริตะประมาณ 9.40 น. ถึงสนามบินเถาหยวนประมาณ 12.40 น. จากนั้นก็หลั่นล้าที่ไต้หวันสัก 2 วัน เดินทางออกจากสนามบินเถาหยวนประมาณ 13.55 น. ถึงสนามบินสุววรณภูมิประมาณ 16.45 น. ดูราคาในเว็ปของ China Airlines แล้วก็ไม่สูงจนเกินไป แต่ติดที่ว่าการจองผ่านเว็ปต้องชําระเงินเลย เอ้ย! ผมยังไม่รู้ผลวีซ่าเลย ใครจะกล้าจอง ผมจึงยกหูโทรศัพท์ไปจองผ่านเจ้าหน้าที่ของสายการบิน China Airlines เป็นไปดังคาดครับเที่ยวบินจากนาริตะมาไต้หวันจองเต็มหมด อีกครั้งที่ผมต้องเป็นผู้โดยสาร Waited list แต่ก็ยังดีที่เที่ยวบินอื่น Confirmed ผมจึงทําการจองไป เจ้าหน้าที่แจ้งว่าค่าตั๋วโดยแวะพักที่ไทเปทั้งหมดประมาณ 22,000 บาท ก็นับว่าไม่แพงครับ พอไหวๆ หลังจากนั้นอีก 2-3 วันผมได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ China Airlines ว่าเที่ยวบินของผมทุกเที่ยวบิน Confirmed หมดทุกเที่ยวบินและจะต้องออกตั๋วภายในเดือนพฤศจิกายนนี้  ก็เลยแอบดีใจเล็กๆ แต่ก็ยังคงกังวลเรื่องวีซ่าอยู่ดี
                เสร็จจากเรื่องตั๋วเครื่องบินก็มาเป็นเรื่องที่พัก เป็นที่รู้จักกันดีกันว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศนึงที่ที่พัก ราคาแพงมาก ขนาดโฮสเทลที่ห้องอาบน้ำรวมราคาก็ปาไป 3,0004,000 เยนต่อคืน แต่ก็มีให้เลือกมากมายหลายพื้นที่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล ผมก็ใช้ Google ช่วยผมหาโรงแรมที่คิดว่าเหมาะสม ผมไปคนเดียวก็ต้องหาห้องแบบ Single ขนาดห้องแบบ Single ราคาก็ไม่ได้ถูกเลยนะครับ เพื่อนๆ ผมที่เคยไปญี่ปุ่นแนะนำโรงแรมในเครือของ Toyoko Inn. (http://www.toyoko-inn.com/eng/index.html) เพื่อนๆ บอกว่าห้องพักดีมีห้องน้ำในตัว มีอาหารเช้า อยู่ในย่านที่ไม่อันตราย ผมก็เลยเข้าไปตรวจสอบข้อมูล ไม่น่าเชื่อว่าราคาแม้ว่าจะเป็นห้อง Single ราคาก็อยู่ 5,0006,000 เยนต่อคืนก็ตกประมาณ 1,8502,160 บาท ก็นับว่ามากเอาการอยู่สำหรับนักท่องเที่ยวแบบผม
                แต่ในความหมดหวังก็คงยังมีโชคอยู่เสมอ ผมไปพบว่ามีโรงแรมในเครือ Toyoko Inn.ที่กำลังจะเปิดใหม่วันที่ 15 ธันวาคม นี้มี Promotion ลดราคาห้อง Single เหลือ 3,950 เยนต่อคืน พระเจ้าจอร์ท มันยอดมาก! ราคานี้จะหาได้ไหมเนี่ย ทั้งห้องน้ำในตัวรวมอาหารเช้า มีทีวีในห้อง อินเตอร์เน็ตอีกต่างหาก งานนี้ต้องบอกว่าโชคดีโคตรๆ