วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Japan Air Ticket was issued

เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ น้อยผ่านไปได้ด้วยดี ผมไม่รอช้าที่จะส่งเอกสารด้วยตนเอง ขีดเส้นใต้ด้วยคนเองให้กับ Agency ของผม คงไว้ใจกับระบบการส่งเดิมๆ ยากแล้วล่ะครับ การขอวีซ่าเข้าไต้หวันใช้เวลาไม่นานครับ ยื่นวันนี้เช้า พรุ่งนี้บ่ายก็สามารถรับเล่มคืนได้ เมื่อวีซ่าเข้าไต้หวันผมผ่านแล้ว เพื่อความไม่ประมาทผมจึงต้องตรวจสอบว่าปัจจุบันราคาตั๋วที่รวมภาษีแล้วเป็นเท่าไหร่ ผมเข้าไปทำรายการในเว็บไซต์ของ China Airlines ปรากฎว่าไม่สามารถเช็คราคาผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เพราะว่าตั๋วถูกจองเต็มหมดแล้ว โชคดีมากๆ ที่ผมจองผ่านพนักงาน ไม่งั้นคงไม่มีตั๋วแน่ๆ ผมได้โทรสอบถามกับพนักงานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าบัตรเครดิตผมมีวงเงินเหลือเพียงพอ ณ วันที่ผมโปรไปราคาอยู่ที่ 21,175 บาท อย่างน้อยก็ถูกกว่าที่ประมาณการไว้ จำได้ไหมว่าผมประมาณการไว้เท่าไหร่ (ร่วมสนุกด้วยกันส่ง SMS เข้ามา ท่านแรกที่ตอบถูกจะได้ขอฝากจากญี่ปุ่นเป็นหิมะที่น่าจะละลายแล้ว อิอิ) จริงๆ แล้วกำหนดการออกตั๋วของวันที่ 22 พฤศจิกายน แต่ด้วยความเห่อ ป่าวหรอกครับออกตั๋วก่อนจองที่นั่งได้ก่อน และก็ไม่แน่ว่าอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าค่าภาษีอาจจะขึ้นได้ ราคานี้เป็นราคาที่ผมพอใจแล้ว
เสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน จริงๆ อาทิตย์ที่แล้วดูรายการศึก 12 ราษีหมอลักษณ์บอกว่าเป็นดี เหมาะกับการทำการมงคล ผมก็เลยเอาฤกษ์วันนี้แหละทำซะทุกอย่าง วันนี้นอกจากจะไปออกตั๋วแล้ว ยังต้องไปรับเล่มหนังสือเดินทางคืนจาก Agency ด้วย หลังจากนั้นเปลี่ยนยางที่เรียกว่าพร้อมจะระเบิดตลอดเวลา หากตังค์เหลือจะไปเปลี่ยนฟิล์มกันแดดหน้ารถที่หมดอายุ เป็นอย่างไงครับแผนการเดินทางในวันฤกษ์ดีของผม ตกลงนี่มันวันจ่ายตรุษจีนหรือวันอะไรเนี่ย และด้วยความรีบร้อนของผมทำให้ผมลืมเอาตั๋ว MRT และ BTS ไปด้วย ดังนั้นง่ายๆ ครับพี่น้อง จ่ายแหลก!
ผมไปจอดรถไว้ที่สถานีลาดพร้าวเช่นเคย แล้วก็นั่ง MRT ไปลงที่สุขุมวิทครับ จากนั้นก็ต่อ BTS ไป พร้อมพงษ์ แต่ตีตัวไปชิดลม ให้ Agency ของผมมาส่งเอกสารที่ประตูทางเข้า แบบว่าไม่เสียตังค์ทั้งคู่อ่ะครับ ยืนยันนะว่าไม่ได้งง แต่รู้จักใช้แค่นั้นเอง เมื่อรับเอกสารเสร็จแล้วก็นั่ง BTS จากพร้อมพงษ์มาลงที่ชิดลมครับ ลืมบอกไปเลยว่าสำนักงานของ China Airlines อยู่ที่เพนนิซูล่าพลาซ่าครับ ก็เดินเลาะๆ ไปทางพระพรหมเอราวัณนั่นแหละครับ เอาเข้าจริงก็ไกลพอดูนะ
ไปถึงประมาณ 10 โมงเช้าร้านรวงเค้ายังไม่เปิดกันครับ China Airlines อยู่ที่ชั้น 4 ครับขึ้นบันได้เลื่อนไปเรื่อยๆ วันนี้คนไม่มีเลยครับ ในช่วงนั้นมีผมคนเดียวที่เข้าไปออกตั๋ว ไปถึงก็ยื่นบัตร Dynasty Member มันก็เป็นบัตรสะสมไมล์ของสายการบินนี้ครับ พี่ที่เค้าออกตั๋วให้ผม พี่เค้าแจ้งผมว่าไปนาริตะใช้ 55,000 ไมล์ แต่ต้องจ่ายค่าภาษี ประมาณ 4,600 บาท พี่เค้าคิดว่าผมจะใช้ไมล์ใบบัตรแลกตั๋วเครื่องบิน โธ่พี่ค๊าบ! ไมล์สะสมน้อยเท่าหอยมดจะบินไปไหนได้ครับ เมื่อทำความเข้าใจกันแล้วพี่เค้าก็ดำเนินการออก E-Ticket ให้ครับ ไม่มีอะไรมากก็คล้ายๆ กับกระดาษธรรมดา แล้วถึงเวลาที่ต้องคำนวณค่าเสียหายครับ รวมแล้วผมต้องจ่ายไปทั้งหมด 21,170 บาทครับ นี่ผมกำลังจะไปญี่ปุ่นจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย

Finally about my passport

หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังสือเดินทางและเอกสารต่างๆ ของผม ระหว่างทางกลับบ้านก็คิดให้กำลังใจตัวเอง เอาว่ะ ก็มันหายแล้ว อย่างไงก็ต้องเดินทางต่อ อย่างมากก็แค่ทำใหม่ มันคงไม่ยากอะไรที่จะเริ่มใหม่อีกครั้ง ก็เคยผ่านมันมาแล้วนิ ไม่แปลกที่จะนับ 0 อีกครั้ง ล้มได้ก็ลุกได้คิดได้อย่างนั้นก็เรียกสติสตางค์กลับมาได้บ้างครับ ที่ท้อขนาดว่าจะไม่ไปญี่ปุ่นก็เลิกไป มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไงก็ต้องไปให้ได้ครับ เดี๋ยวไม่มีอะไรมาเขียนให้ทุกคนอ่าน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงลุ้นกับผมอยู่เหมือนกัน กับแค่อุปสรรคแค่นี้ เด็กๆ ครับ ลุ้นมากกว่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ (เรื่องแรกของผมไง กลับไปอ่านซะ)
          กลับมาถึงบ้านสิ่งที่ผมต้องตกตะลึงก็คือ ซองจดหมายจากไปรษณีย์ที่จ่าหน้าถึงผม ส่งโดยไปรษณีย์เองเนื่องจากว่าไม่มีการติดแสตมป์ ผมรีบเปิดออกดู ไม่น่าเชื่อครับท่านผู้ชม เอกสารตัวจริงผมทั้งหมดที่ส่งไปอยู่ในซองนั้นทั้งหมด หนังสือเดินทาง สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีธนาคาร ไม่มีจดหมายอะไรบอกผมทั้งสิ้น หน้าซองเขียนไว้ว่า คืนบัตรจากการไขตู้งงไหมครับ
อย่าว่าแต่คุณเลย ผมถึงกับอึ้งกิมกี่ไปนาน ใจนึงก็ดีใจคับที่ได้เอกสารกลับคืนมา แต่ความสงสัยในฐานะโคนันน้อยก็เกิดขึ้น ทำไมเอกสารผมถึงแยกไป 2 ที่ ทั้งๆ ที่ส่งในซองเดียวกัน มีคนเปิดซองเอกสารลงทะเบียนผมหรือ จริงๆ แล้วถ้าไปรษณีย์เปิดเอกสารผม ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเค้าก็คงมีสิทธิที่จะตรวจสอบซองที่ต้องสงสัย แต่ที่ผมงงก็คือ ตรวจแล้วทำไมไม่ใส่เข้าไปในซองเดิมแล้วส่งให้กับผู้รับ แต่กลับส่งกลับมาที่ผู้ส่งทำไม ผมคงต้องสอบถามหาความจริงเพื่อหายข้อสงสัยในเร็ววันนี้ครับ
          ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะครับ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

When my passport not found!

           ระหว่างการรอผลการพิจารณาวีซ่าเข้าไต้หวัน Agency ที่รับยื่นวีซ่าให้กับผมโทรมาแจ้งผมว่าไม่พบหนังสือเดินทางตัวจริง รวมถึงเอกสารตัวจริงอื่นๆ ของผม พบแต่เอกสารสำเนาและรูปถ่าย เฮ้ย! ก็ผมใส่เข้าไปในซองเองกับมือ แล้วมันหายไปไหนล่ะ นั่นคือคำถามที่ผมถามกับเค้า เชื่อไหมครับหลังจากรู้ว่าหนังสือเดินทางผมหายไป อาการหน้ามืด ตามัว หูอื้อก็เกิดขึ้น บอกตรงๆ ครับว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไงดี นี่ผมต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดใช่ไหม ผมสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งปวงเท่าที่สติตอนนั้นจะทำได้ ผมต้องเริ่มจากไปแจ้งความ จากนั้นไปติดต่อเทศบาลเพื่อทำสำเนาทะเบียนบ้านใหม่ ติดต่อสถานกงศุลเพื่อทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ ไป JVAC อีกครั้งเพื่อขอวีซ่าญี่ปุ่นอีกครั้ง คิดรวบยอดแล้วผมคงต้องลางานอีกไม่น้อยกว่า 5 วันเป็นแน่ เป็นครั้งแรกที่ผมกินข้าวไม่ลง คงไม่ต้องบอกว่าเซ็งขนาดไหน
ผมโทรไปสอบถามที่ลูกค้าสัมพันธ์ของไปรษณีย์ไทย เจ้าหน้าที่ก็ให้บริการผมดี อย่างน้อยๆ ผมก็ได้ความรู้มาว่าเอกสารที่ผมส่งไปเสียค่าธรรมเนียมการส่ง 22 บาท ซึ่ง 13 บาทเป็นค่าลงทะเบียน ส่วนที่ 9 บาทเป็นค่าจดหมายแล้วอัตราที่ผมจ่ายแสดงให้เห็นว่าน้ำหนักจะต้องมากกว่า 100 กรัมแต่ไม่เกิน 250 กรัมจึงจะอยู่ในอัตราดังกล่าว ประมาณการจากคนที่ทำงานกับเอกสารทุกวัน กระดาษธรรมดา 20 แผ่นก็ไม่น่าจะหนักเกินกว่า 100 กรัมนั่นก็น่าจะมีหนังสือเดินทางผมอยู่ในนั้นด้วยเป็นแน่ แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าน้ำหนักที่ผมส่งจริงๆ เท่าไหร่ คิดไปคิดมาเหมือนเป็นนักสืบน้อยโคนันเลยอ่ะ
           มาถึงรถสิ่งแรกที่ผมทำคือตรวจสอบใบนำส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน ผมเองก็มีความสงสัยในตัวเองเหมือนกันว่า หรือว่าผมจะมึนขนาดที่ลืมส่งหนังสือเดินทางไปด้วย ดูแล้วน้ำหนักที่ผมส่งเอกสารไปวันนั้นก็ตั้ง 2 ขีดกว่าๆ ก็ไม่น่าจะมีแค่เอกสารเฉยๆ น่าจะมีหนังสือเดินทางด้วย ผมก็พยายามโทรติดต่อกับ Agency เพื่อสอบถามให้มั่นใจว่าเค้าได้รับหนังสือเดินทางตัวจริงของผมหรือป่าว เค้าก็ยืนยันว่าไม่มีหนังสือเดินทางของผมจริงๆ ผมสอบถามต่อว่าซองเอกสารของผมมีรอยเปิดหรือไม่ ผู้รับก็ตอบว่าซองเอกสารเป็นปกติไม่มีรอยเปิดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้ผมกังวลเข้าไปอีก ตลอดทางกลับบ้านยอมรับว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าผมไปแจ้งความแล้วทำหนังสือเดินทางใหม่ ปรากฏว่าหลังจากนี้มีคนพบหนังสือเดินทางผม แต่หนังสือเดินทางถูกยกเลิกไปแล้ว ผมก็ต้องเริ่มดำเนินการใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าปล่อยให้ช้าไปผมก็จะทำเอกสารไม่ทัน เพราะว่าผมจะต้องออกตั๋วภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถ้าทุกคนยังจะจำได้ คิดแล้วเครียดนะ เรื่องง่ายๆ ที่ใครไม่โดนกับตัวเองไม่รู้หรอกครับ เป็นไปได้เหรอครับเอกสารที่ส่งไปซองเดียวกัน แต่เอกสารสำเนาถึงมือผู้รับแต่เอกสารตัวจริงหายไป หรือว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นของผมจะจบลงตรงนี้ครับ